แสงสีฟ้าคืออะไร
-
แสงสีฟ้า (Blue Light) เป็นส่วนหนึ่งของแสงที่ตามองเห็นได้ (visible light) ที่มีความยาวคลื่นสั้น — โดยเฉพาะช่วง “High-Energy Visible Light (HEV)” ประมาณ 400-500 นาโนเมตร
-
แหล่งของแสงสีฟ้า: แสงธรรมชาติจากดวงอาทิตย์เป็นแหล่งหลัก แต่จอ LED, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ ก็ปล่อยแสงสีฟ้าออกมาด้วย
ผลกระทบที่อาจมีต่อดวงตา
มีทั้งผลระยะสั้น (short-term) และยังมีการศึกษาผลระยะยาว (long-term) ที่ยังไม่ชัดเจนทั้งหมด
ผลกระทบ | รายละเอียด / หลักฐาน |
---|---|
อาการล้า ตา / ระคายเคือง / ตาแห้ง | การใช้หน้าจอเป็นเวลานานทำให้ตาเพ่ง ตาล้า มีอาการแสบตา เคืองตา ตาแห้ง เพราะกะพริบน้อยลง น้ำตาไม่กระจายดี |
การรบกวนการนอน / circadian rhythm | แสงสีฟ้าโดยเฉพาะในช่วงเย็น – ก่อนนอน – สามารถยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (melatonin) ทำให้หลับยาก หรือคุณภาพการนอนลดลง |
การมองเห็นชัด / มัว / เบลอชั่วคราว | หลังจากใช้หน้าจอนานผู้ใช้บางรายมีอาการมองภาพเบลอ ช่วงพักสายตาสั้น ๆ แล้วกลับมามองจอแล้วต้องใช้เวลาในการปรับโฟกัส |
ความเสี่ยงต่อจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) | มีงานวิจัยในห้องทดลอง / สัตว์ทดลองที่ชี้ว่าแสงสีฟ้าในปริมาณมากสามารถทำให้เกิดความเสียหายของเซลล์รับแสงในจอประสาทตา (retina) ได้ แต่สำหรับมนุษย์ ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าการใช้จอธรรมดาในชีวิตประจำวันจะทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อมโดยตรง |
ปัญหาที่เกี่ยวกับเลนส์แก้วตา / ต้อกระจก | มีแนวคิดว่าแสงสีฟ้าอาจสร้างอนุมูลอิสระ (reactive oxygen species) ที่กระจกตาและเลนส์ ส่งผลให้โปรตีนเปลี่ยนแปลง และอาจเร่งการเกิดต้อกระจกได้ |
แนวทางป้องกัน / ลดโอกาสได้รับผลกระทบ
เพื่อให้บทความสมบูรณ์ อาจใส่แนวทางเหล่านี้ด้วยครับ:
-
ใช้กฎ 20-20-20: ทุก ๆ 20 นาที หยุดมองหน้าจอ มองอะไรที่ห่างออกไป 20 ฟุต (≈ 6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที
-
ลดความสว่างหน้าจอให้พอดีกับสภาพแสงในห้อง
-
ใช้โหมด “กลางคืน” / Night Mode / Blue Light Filter บนอุปกรณ์ในยามเย็น
-
ใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า (ถ้าจำเป็น) — แต่ต้องดูให้ดีว่าเลนส์กรองได้แค่ไหน และผลการใช้งานจริงอาจแตกต่างกัน
-
หลีกเลี่ยงการใช้จอแรงในช่วงก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้แสงสีฟ้ารบกวนการนอนหลับอย่างมาก